2025-10-15
HaiPress
สรรพากรเปิดแนวทาง บี้เก็บภาษี อินฟูลฯ ค้าออนไลน์ ชี้ยอดขายฉ่ำ ยังไงก็ต้องจ่ายภาษี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี เจนนี่ รัชนก หรือ เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ได้มีการไลฟ์สดขายสินค้าเทศกาลเจนนี่ บนแพลตฟอร์ม ติ๊กต็อก 4 วัน สร้างยอดขายรวมเกือบ 300 ล้านบาท แบรนด์สินค้าแห่เข้าหาติดต่อมาแล้ว 10,000 แบรนด์ จ่ายเงินรอคิวไลฟ์แล้ว 5,000 แบรนด์ และล่าสุด ร่วมซูเปอร์สตาร์ อั้ม พัชราภา ไลฟ์สดขายสนั่น 10 นาที ได้ยอดขาย 60 ล้านบาท
นายภาณุวัฒน์ เหลืองวิไล รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า จากการสอบถาม เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ได้รับการเปิดเผยถึงแนวทางการเก็บภาษีจากรายได้ดังกล่าวว่า ตามปกติ ประชาชนผู้มีรายได้ไม่ว่าจะมาจากทางใด ต้องมีหน้าที่ยื่นเสียภาษีเงินเป็นปกติอยู่แล้ว รวมถึงกลุ่มที่มีรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ หรืออินฟูลเอนเซอร์ด้วย เรื่องนี้สรรพากรไม่ได้ไปเพ่งเล็งใครเป็นพิเศษ แต่มีการติดตามดูเพื่อให้เสียภาษีถูกต้องเท่าเทียมกัน
สำหรับกรณีนักร้อง ดารานักแสดง ที่ไลฟ์สดขายสินค้า และมียอดขายชั่วโมงละหลายสิบล้านบาท ก็มีหน้าที่ต้องยื่นเสียภาษีเช่นกัน โดยหากเป็นบุคคลธรรมดา กรณีเจ้าของกิจการขายสินค้าของตัวเอง ก็ต้องนำรายได้จากการขาย มาหักค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุน และหักค่าลดหย่อนส่วนตัวเหลือเป็นกำไรหรือรายได้สุทธิเพื่อมาคำนวณภาษี หรือกรณีมีรายได้จากการรับจ้างไลฟ์สด โดยได้ค่าจ้างเป็นรายวันรายชั่วโมง หรือเป็นค่าคอมมิชชัน ก็ต้องนำรายได้ส่วนนั้นมายื่นเสียภาษีบุคคลเช่นกัน
ปัจจุบันการเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา คิดอัตราตามขั้นบันไดกำหนดไว้ 5-35% และหากยอดขายสินค้าเกิน1.8 ล้านบาท ก็ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอีกด้วย
ส่วนหากมีการไลฟ์สดขายของ โดยเปิดเป็นรูปแบบบริษัท หรือนิติบุคคล ก็ต้องยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล และมีการเสียภาษีจากรายได้หักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่กำหนด
กรณีบุคคลขายของออนไลน์ได้วันละ 20 ล้านบาท แน่นอนรายได้นี้ จะต้องยื่นเสียภาษีอยู่แล้ว แต่ต้องดูว่าเป็นรายได้จากการขายสินค้า หรือรายได้จากการรับจ้าง และมีสิทธินำมาหักค่าใช้จ่ายตามจริง หรือหักแบบเหมาจ่าย 60% ขึ้นอยู่กับประเภทของรายได้ที่ได้รับ เพื่อหารายได้สุทธิ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ต้องไปดูด้วยว่า เป็นยอดขาย รายได้จริงหรือไม่ เพราะบางทีเมื่อมีการไปตรวจสอบ พบว่าไม่ใช่ยอดขายจริง เป็นเพียงแค่การโฆษณาทำการตลาดให้มียอดขายเยอะๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อก็มี
แต่อย่างไรก็ดี การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เก็บภาษีด้วยวิธีการประเมินตนเองตามกำหนดเวลา ซึ่งบุคคลธรรมดา หรือบริษัท มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการต่อกรมสรรพากรภายในเวลาที่กำหนด เช่น บุคคลธรรมดาที่มีรายได้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2568 มีหน้าที่ต้องยื่นแบบเสียภาษีต่อกรมสรรพากรภายในวันที่ 31 มี.ค. 2569
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มว่า ที่ผ่านมาสรรพากร ได้มีการเพิ่มเข้มงวดในการตรวจสอบการเสียภาษีเงินได้บุคคลให้ถูกต้อง เช่น มีการกำหนดข้อมูลเงินโอนเข้าออกทางบัญชี ฝากหรือรับโอนเข้าบัญชี รวมทุกบัญชีใน 1 ธนาคาร 400 ครั้งต่อปี และมียอดเงินรับรวม 2 ล้านบาทต่อปี ธนาคารจะต้องส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรตรวจสอบ
นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ชื่อดัง เช่น ช้อปปี้ ลาซาด้า แกร็บ ไลน์แมน รายงานข้อมูลรายรับค่าธรรมเนียมจากร้านค้าที่เข้าร่วมแพลตฟอร์ม ให้สรรพากรรับทราบเพื่อใช้ตรวจสอบย้อนกลับ ไปถึงรายได้ที่แท้จริงของร้านค้าออนไลน์ รวมถึงปัจจุบันกรมสรรพากรได้จัดทำโครงการ RD10X เพื่อเพิ่มทักษะเจ้าหน้าที่สรรพากร ประจำสาขาต่างๆ จากปกติที่คอยรับยื่นแบบภาษีเงินได้แบบกระดาษ มาทำหน้าที่เฝ้าระวัง สอดส่องดูประชาชน รวมถึงอินฟูลฯ ให้เสียภาษีอย่างถูกต้องด้วย เนื่องจากปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่เลือกยื่นแบบออนไลน์แทนกระดาษ ทำให้งานรับยื่นภาษีมีน้อยลง
ล่าสุด กรมฯ ยังพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ เพื่อติดตามรูปแบบการค้าออนไลน์ หรือไลฟ์สดขายสินค้ารูปแบบต่างๆ ว่ามียอดขายเป็นอย่างไร และมีการจ่ายภาษีอย่างถูกต้องแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าประชาชนที่มีรายได้ ไม่ว่าจะมาจากช่องทางออนไลน์ หรือออฟไลน์ หากมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด จะต้องมีหน้าที่ยื่นแบบภาษีอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าจะทำอาชีพใดก็ตาม